๑. ความเป็นมาของสำนวนไทย
สำนวน ยังคงมีอยู่ภาษาพูดของคนไทยมานานก่อนที่เราเราจะมีภาษาเขียน เพราะศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหง ได้มีสำนวนไทยปรากฏอยู่แล้ว เช่น
"ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" = บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์
"เจ็บท้องข้องใจ" = มีเรื่องเดือดร้อน
"ไพร่ฟ้าหน้าใส" = ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
จากการที่มีสำนานปรากฏในภาษาเขียนครั้งแรกของไทยเช่นนี้ ชี้ให้เห็นว่าสำนวนไทยมีใช้ในภาษาพูดมานานแล้ว
๒. ที่เกิดสำนวนไทย
สำนวนไทยคงเกิดมาจากมูลเหตุหลายประการด้วยกัน คือ
๒.๑ เกิดจากธรรมชาติ เช่น
"ฝนตกไม่ทั่วฟ้า"
"น้ำซึมบ่อทราย"
"น้ำตาลใกล้มด"
"ข้าวคอยฝน" เป็นต้น
๒.๒ เกิดจากการกระทำ เช่น
"ชุบมือเปิบ"
"ปิดทองหลังพระ"
"นอนตาไม่หลับ"
"ชักใบให้เรือเสีย"
"หาเช้ากินค่ำ"
๒.๓ เกิดจากสัตว์ เช่น
"ปลากระดี่ได้น้ำ"
"เสือซ่อนเล็บ"
"หมาหยอกไก่"
"วัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อน"
๒.๔ เกิดจากอวัยวะต่างๆ เช่น
"ตาเล็กตาน้อย"
"ตีนเท่าฝาหอย"
"ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม"
"มืออยู่ไม่สุข"
๒.๕ เกิดจากของกินของใช้ เช่น
"ข้าวแดงแกงร้อน"
"ผ้าขี้ริ้วห่อทอง"
"บ้านเคยอยู่อู่เคยนอน"
"ลงเรือลำเดียวกัน"
๒.๖ เกิดจากแบบแผนประเพณี เช่น
"ผีซ้ำด้ำพลอย"
"กงกำกงเกวียน"
"เข้าตามตรอกออกตามประตู"
"คนตายขายคนเป็น"
"ตื่นก่อนนอนหลัง"
๒.๗ เกิดจากลักธิศาสนา เช่น
"ตักบาตรถามพระ"
"ทำคุณบูชาโทษ"
"กรวดน้ำคว่ำขัน"
"ขนทรายเข้าวัด"
"บุญทำกรรมแต่ง"
๒.๘ เกิดจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี พงศาวดาร และประวัติศาสตร์ เช่น
"กระต่ายหมายจันทร์"
"ฤษีแปลงสาร"
"ดอกพิกุลร่วง"
"ชักแม่น้ำทั้งห้า"
"กบเลือกนาย"
๒.๙ เกิดจากการละเล่นกีฬาหรือการแข่งขัน เช่น
"ไก่รองบ่อน"
"งงเป็นไก่ตาแตก"
"ไม่ดูตาม้าตาเรือ"
"เข้าตาจน"
๒.๑๐ เกิดจากความประพฤติ เช่น
"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"
"น้ำขึ้นให้รีบตัก"
"มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ"
"เถียงคำไม่ตกฟาก"
"ทำนาบนหลังคน"
๓. ลักษณะของสำนวนไทย
ข้อความที่เป็นสำนวนในภาษาไทย มีลักษณะพิเศษดังต่อไปนี้
๑. ใช้ถ้อยคำที่กินความมาก คือ ถ้อยคำที่เป็นสำนวนส่วนใหญ่ จะใช้ถ้อยคำน้อยแต่กินความหมายมาก เนื้อความมีความหมายเด่น เช่น
"ก่อหวอด" = เริ่มตั้งต้นขึ้น
"กระดูกร้องไห้" = ตายไปแล้วมีผู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้
"ของร้อน" = ของที่ได้มาโดยไม่สุจริต
"เข้าเนื้อ" = ขาดทุน เสียหาย
เป็นต้น
๒. มีความหมายโดยนัย คือ ความหมายจะไม่ตรงตามความหมายโดยอรรถ เช่น
"ฤษีเลี้ยงลิง" = เลี้ยงเด็กซุกซน
"ขนทรายเข้าวัด" = ร่วมมือร่วมใจกันทำบุญ
"คว่ำบาตร" = ตัดออกจากสมาคม ไม่มีคนคบด้วย
เป็นต้น
๓. ถ้อยคำมีความหมายไพเราะ คือ ใช้คำสัมผัสคล้องจอง เน้นเสียงสัมผัสสละสลวย มีการจัดจังหวะคำหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น
การจัดเป็นกลุ่มคำ ๔ คำ เช่น
ความลับคับอก
เคราะห์หามยามร้าย
จับต้นชนปลาย
ใจไม้ใส้ระกำ
การจัดเป็นกลุ่มคำ ๖ คำ เช่น
จับให้มั่นคั้นให้ตาย
ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
มือถือสากปากถือศีล
แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง
การจัดเป็นกลุ่มคำ ๘ คำ เช่น
กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง
ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใส่ไว้นอก
๔. มีการเปรียบเปรย มีประวัติมาจากการเปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ประเพณี ศาสนา กิริยาอาการต่างๆ เป็นต้น
ดังนั้นสำนวนไทย รวมถึงสุภาษิต คำพังเพย โวหาร คำคม คำขวัญ และคติพจน์นั้นมีใช้จำนวนมากในภาษาไทย และการมีการรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ โดยผู้แต่งหลายๆท่าน ผู้ใดที่สนใจถ้อยคำนวนใด สามารถนำไปปรับประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ถูกต้องตามกาลเทศะได้คะ